Saturday, April 9, 2011

Danae and the Shower of Gold หญิงสาวผู้เลอโฉมกับละอองทองคำที่โปรยปราย (2)

สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านตอนที่หนึ่ง
Danae and the Shower of Gold หญิงสาวผู้เลอโฉมกับละอองทองคำที่โปรยปราย (1)

ดานายมักถูกวาดออกมาในแนวอีโรติก เป็นหญิงสาวรูปโฉมงดงามนอนเปลือยกายอยู่บนเบาะหรือบนเตียงขนาดใหญ่ดูหนานุ่ม ข้างกายเป็นแม่นมหรือพี่เลี้ยงผู้ซึ่งบางครั้งจะอยู่ในอิริยาบถขณะกำลังใช้ผ้ากันเปื้อนรองรับทองคำที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ศิลปินยุคเรเนซองส์หลายคนตีความดานายเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่ถูกบิดเบือนไปด้วยอำนาจของเงิน ผลกระทบของความมั่งคั่งที่แปดเปื้อนศีลธรรมและความรักอันบริสุทธิ์ของหญิงสาว เทพเจ้าซุสซื้อดานายด้วยทองคำ สิ่งลำค่าที่สามารถทำลายกำแพงทองเหลืองที่กักขังดานายเอาไว้ สามารถปลดล็อคหอคอยที่ร่ำลือกันว่าแน่นหนา สามารถทำให้หญิงสาวที่มีแววตาแข็งกร้าวจำต้องเข่าอ่อน สามารถบิดเบือนความตั้งใจของดานาย ไม่จำเป็นที่จะต้องมีคู่ครองเพื่อสวดมนต์ต่อเทพีอะโฟรไดท์ หากใครสักคนพร้อมจะหยิบยื่นความมั่งคั่งมาให้ 


Danae by Francois Boucher

Friday, April 8, 2011

Danae and the Shower of Gold หญิงสาวผู้เลอโฉมกับละอองทองคำที่โปรยปราย (1)

สำหรับใครที่ชอบอ่านเทพนิยายกรีกโรมัน คงจะรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อและตำนานของเพอร์ซุส (Perseus) วีรบุรุษผู้พิชิตเมดูซ่า(Medusa) อสุรกายในคราบหญิงสาวผู้มีผมเป็นงูได้เป็นอย่างดี แต่จะมีสักกี่คนกันที่จะจำ "ดานาย" (Danae) หญิงสาวผู้เป็นมารดาของเพอร์ซุสและเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ใจของเธอ ในวงการศิลปะ ตำนานของดานายเริ่มเป็นที่สนใจอย่างแพร่หลายนับตั้งแต่ยุคเรเนซองส์เป็นต้นมา หนึ่งในศิลปินผู้มีชื่อเสียงซึ่งนำเรื่องราวของดานายมาตีแผ่บนผืนผ้าใบคือ คอเรจจิโอ้ (Corregio) ติเตียน (Titian) เรมแบรนด์ (Rembrandt) และกุสตาฟ คลิมท์ (Gustav Klimt)

Danae and the Shower of Gold
โดย Leon Francois Comerre

Saturday, April 2, 2011

DADAISM ศิลปะเพื่อต่อต้านความเป็นศิลปะ

ลัทธิดาด้า หรือ ดาด้าอิสม์ (Dadaism) คืออะไร? ศิลปะแบบดาด้าคือการเยาะเย้ย ถากถาง เสียดสี แดกดัน ประชดประชันแบบไร้เหตุผล เป็นการแสดงความเหลวไหลไร้สาระ ไม่ต่างอะไรกับชื่อเรียก "ดาด้า" ซึ่งแปลว่าม้าโยก หรือเสียงร้องอ้อแอ้ของเด็กน้อย ในภาษาฝรั่งเศส

จุดกำเนิดของศิลปินในกลุ่มดาด้าคือ ความเกลียดชังที่มีต่อสงคราม และความเกลียดชังที่มีต่อบุคคลซึ่งชอบยกเอาความคิดของตนมาอ้างเป็นเหตุผลในการทำลายล้างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อีกนัยหนึ่งคือ พวกดาด้าต่อต้านแนวคิดซึ่งอ้างอิง "เหตุผล" และ "ตรรกะ" อันได้รับอิทธิพลมาจากความเป็นทุนนิยมที่ภายหลังนำไปสู่สงคราม นี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ศิลปะแบบดาด้าเป็นอะไรที่ดูไร้เหตุผล ดูดิบเถื่อน ออกนอกกรอบขนบประเพณี เพราะขนบธรรมเนียมประเพณี ก็สามารถเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างเพื่อนมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน พวกดาด้าจะดูแคลนศิลปะที่มีแบบแผนว่าเป็นความเสเเสร้งหลอกลวง หลงอยู่ในโลกแห่งความฝัน ไม่ยอมรับความเป็นจริงที่ว่าโลกไม่ได้สร้างขึ้นอยู่บนความสมบูรณ์แบบ แต่กลับเต็มไปด้วยความขัดแย้ง และความดำมืดที่สอดแทรกในทุกๆสังคมอย่างไม่มีวันลบล้างออกได้ต่างหาก

Cut with the Dada Kitchen Knife through the Last Weimar Beer-Belly Cultural Epoch in Germany
งานคอลลาจจากหนังสือพิมพ์ ตัวอย่างศิลปะแบบดาด้า โดย  Hannah Höch

Friday, February 18, 2011

Waterhouse's The Lady of Shalott รักที่ไม่ได้ถูกตอบแทน คงไม่ต่างอะไรกับการลิ้มรสหยดน้ำผึ้งบนปลายมีด

ภาพ The Lady of Shalott ซึ่งเขียนโดย John William Waterhouse จิตรกรชาวอังกฤษ เป็นภาพเกี่ยวกับความรักของสาวน้อยผู้โดดเดี่ยว ใช้ชีวิตภายใต้คำสาปที่ไม่มีวันหลุดพ้น เธอหลงรักอัศวินหนุ่มผู้หนึ่งหมดใจ เธอยอมเสี่ยงชีวิตตนเองเพียงเพื่อให้เขาได้โอบอุ้มร่างอันไร้วิญญาณของเธอในวันคืนอันเย็นเยียบ บทเพลงที่ไม่มีวันได้ขับขาน และความรักที่เขาไม่มีวันได้รับรู้

The Lady of Shalott by John William Waterhouse

Tuesday, December 14, 2010

Gustav Klimt's The Kiss จุมพิตนั้นช่างตราตรึงใจ

หนึ่งในศิลปินที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากที่สุดคงหนีไม่พ้น กุสตาฟ คลิมท์ (Gustav Klimt) จิตรกรแนวซิมบอลิสม์ (Symbolism) และอาร์ตนูโว (Art Nuveau) ชาวออสเตรีย ภาพเขียนของเขาหลายภาพได้่มีการนำทองคำเปลวมาใช้ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ทำให้เขาได้รับการยอมรับจากวงการศิลปะอย่างแพร่หลาย ภาพวาดของเขาได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะแบบบิสแซนไทน์ค่อนข้างมาก ศิลปะในแบบของคลิมท์มักเป็นที่กังขาในวงการด้วยความที่เขามักจะใช้สัญลักษณ์ในการตีความที่มีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้องจนเกินพอดี และบางครั้งยากที่จะแบ่งแยกได้ว่ามันคือภาพโป๊หรือภาพศิลปะกันแน่ หากจะกล่าวได้เช่นกันว่าคลิมท์เป็นศิลปินแนวอิโรติกซิสม์ (Eroticism)ก็คงไม่ใช่สิ่งที่น่ากังขาอะไรมากนัก

ในจำนวนภาพเขียนทั้งหมดของคลิมท์ งานที่เป็นรู้จักกันมากที่สุดคือภาพ The Kiss ภาพเขียนซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยที่น่าสนใจมากทีเดียว

ชื่อภาพ: เดอะ คิส (The Kiss)
ศิลปิน: กุสตาฟ คลิมท์
เทคนิค: สีน้ำมันและทองคำเปลวบนผืนผ้าใบ

Monday, December 13, 2010

Grant Wood's American Gothic หนึ่งในภาพที่ถูกนำมาล้อเลียนมากที่สุดในอเมริกา

หากเราได้ดูรายการทีวีหรือโชว์จากฝั่งอเมริกากันบ่อยๆเราคงจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับภาพที่มีชื่อว่า American Gothic ภาพชาวนาชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่หน้าบ้านสีขาว หน้าตาท่าทางดูซีเรียสจริงจัง หากใครนึกออกแล้วถือว่าเก่งมากและคุณเป็นแฟนพันธุ์แท้วงการบันเทิงฝั่งอเมริกันตัวจริง แต่ถ้ายังนึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร เพราะเรามีภาพโพสไว้ให้ดูด้านล่าง ภาพนี้คือภาพที่จะเป็นหัวข้อบล๊อกของเราในวันนี้:

ชื่อภาพ: อเมริกัน กอธิค (American Gothic)
ศิลปิน: แกรนท์ วู้ด
เทคนิค: สีน้ำมันบนผืนผ้าใบ

Sunday, December 12, 2010

Claude Monet's Water Lillies ราชินีแห่งไม้น้ำกับยอดจิตรกรเอกแห่งยุค

 หนึ่งในชุดภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดของ โกลด โมเน (Claude Monet) จิตรกรชาวฝรั่งเศสที่โดดเด่นในงานแนวอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) คือภาพชุดสระบัว หรือ Water Lillies ซึ่งประกอบไปด้วยภาพเขียนรูปดอกบัวน้ำกว่า 250 ภาพที่มีแรงบันดาลใจมาจากสวนในบ้านของโมเนที่ฌิแวร์นี่ (Giverny) ตลอดช่วงสามสิบปีหลังในชีวิตของเขา หลายภาพทีเดียวที่เขียนขึ้นในช่วงที่โมเนเองต้องทรมาณกับภาวะต้อกระจก ภาพเขียนชุดนี่กระจัดกระจายไปยังแกลอรี่ต่างๆทั่วโลก และแต่ละภาพมีราคาขนาดเลขหกหลักเจ็ดหลักกันเลยทีเดียว


 Water-Lilies, 1914-1917, Toledo Museum of Art