ภาพ The Lady of Shalott ซึ่งเขียนโดย John William Waterhouse จิตรกรชาวอังกฤษ เป็นภาพเกี่ยวกับความรักของสาวน้อยผู้โดดเดี่ยว ใช้ชีวิตภายใต้คำสาปที่ไม่มีวันหลุดพ้น เธอหลงรักอัศวินหนุ่มผู้หนึ่งหมดใจ เธอยอมเสี่ยงชีวิตตนเองเพียงเพื่อให้เขาได้โอบอุ้มร่างอันไร้วิญญาณของเธอในวันคืนอันเย็นเยียบ บทเพลงที่ไม่มีวันได้ขับขาน และความรักที่เขาไม่มีวันได้รับรู้
The Lady of Shalott by John William Waterhouse |
ในชีวิตเราถึงแม้จะผ่านมาได้ไม่มาก แต่ก็ได้พบเห็นกับสิ่งที่เรียกว่าความรักมามากมาย ยังคงแปลกใจทุกครั้งว่าเหตุใดหนอ สิ่งที่สวยงามกลับนำความเจ็บปวดมาให้มนุษย์เรามากถึงเพียงนี้ อาจจะเป็นเพราะคนเรามองเพียงด้านเดียวว่าความรักที่แท้คือความรักที่สมปรารถนา สมกับความหวังที่ตั้งมั่นไว้ในใจ แต่ไม่เลย โชคชะตาสรรค์สร้างให้ความรักมีอานุภาพที่ร้ายกาจกว่านั้น มีหลายครั้งที่ความรักเป็นเหมือนที่คุมขังจิตใจเราเอาไว้ เหมือนเป็นเครื่องพันธนาการไม่ให้เราได้ยื่นมือออกไปสัมผัสสิ่งใด พิจารณาสิ่งใด รับฟัง หรือแม้แต่สูดลมหายใจให้เข้าปอดได้อย่างเต็มที่ ที่เราพูดถึงคงเป็นความรักที่ซ่อนอยู่ในจิตใจใครสักคน ในหมู่ประชากรหกพันล้านคนบนโลกใบนี้ จะมีคำบอกรักสักกี่ประโยคหนอที่ไม่มีโอกาสหลุดรอดริมฝีปากออกไป ช่างน่าเศร้านัก ใครเลยจะเข้าใจ ความรักที่มิอาจได้รับรู้ มิอาจได้รับตอบนั้น มันเจ็บปวดขนาดไหน คงทรมาณดั่งโลกทั้งใบแตกเป็นเสี่ยงๆอยู่ในหัวใจเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าชั่วกัปกัลป์เป็นแน่
ความรู้สึกที่ได้รับรู้เรื่องราวของสาวน้อยแห่งชาลอตสะเทือนใจมากพอให้เรารู้สึกค้างคาจนต้องลุกขึ้นมาเขียนบล็อกกลางดึกแบบนี้ เรื่องราวของเธอเล่าผ่านบทกวีที่เกี่ยวกับเรื่องราวในยุคของกษัตริย์อาเธอร์ สาวน้อยถูกสาปให้ทอผืนผ้าบอกเล่าเรื่องราวตลอดไปโดยไม่มีวันได้มองออกไปยังโลกภายนอกอันเป็นโลกแห่งความเป็นจริง มีเพียงกระจกบานน้อยให้เธอใช้สะท้อนมองถนนหนทางอันวุ่นวายซึ่งตัดผ่านหมู่บ้านของเธอไปยังดินแดนคาเมลอต โลกของเธอเปลี่ยนไปตลอกาลเมื่อกระจกได้สะท้อนให้เห็นคู่รักคู่หนึ่งในหนทางอันแสนไกล เมื่อเธอเฝ้ามองจิตใจก็ยิ่งไขว่คว้าตามหาความสิเน่หาของคู่รักที่เธอไม่เคยลิ้มรสสัมผัส จนกระทั่งเซอร์ลานซลอตขี่ม้าผ่านเข้ามาในเส้นทางของเธอ เธอจึงได้เข้าใจว่าความรัก สิ่งที่เธอเฝ้าตามหามานาน แท้ที่จริงแล้วมันเป็นอย่างไร
สิ่งที่ปรากฏในใจเธอคงเป็นสิ่งที่เรียกว่ารักแรกพบ ซึ่งรุนแรงราวสายฟ้าฟาดผ่านกลางดวงใจ เธอรีบวางมือจากการทอผ้าและรีบชะเง้อมองหาเขาจากทางหน้าต่าง สิ่งนี้ส่งผลให้กระจกแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และเมื่อนั้นเธอจึงได้รู้ว่าเธอได้ถูกคำสาปครอบคลุมชีวิตเธอจนสมบูรณ์แล้ว เธอตัดสินใจเสี่ยงชีวิตออกเรือล่องตามลำน้ำไปยังคาเมล็อตท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ ทว่าอานุภาพของคำสาปได้เข้าถึงตัวเธอก่อนที่เธอจะไปถึงจุดหมาย ในวาระสุดท้ายเธอร่ำไห้ออกมาเป็นบทเพลงแห่งความโศกเศร้าให้กับความรักที่ไม่มีวันสมหวัง เหลือไว้แต่เพียงร่างอันไร้วิญญาณในอ้อมแขนของลานเซลอตเมื่อเรือของเธอมาเกยฝั่งที่คาเมลอตในเช้าวันต่อมา ความรักของเธอที่มีต่อเขาจะเป็นเพียงความลับอันเป็นนิรันดร์
ตำนานเรื่องนี้คงไม่ต่างอะไรกับพวกเราคนอื่นๆมากนัก คนเราเมื่อรักใครสักคน ทุกอย่างบนโลกก็จะดูขาดไร้ความสำคัญไปหมด ทิ้งไว้แต่เพียงสองทางเลือกให้เราตัดสินใจคือ "สารภาพ" หรือ "เก็บไว้ในใจ" แน่นอนว่าไม่ว่าทางไหนก็นับเป็นการเสี่ยงไปเสียหมด เสี่ยงน้อยหรือเสี่ยงมากแตกต่างกันไป ความรักใครๆก็มีได้ ทว่าจะมีสักกี่คนที่กล้าพอจะออกเรือท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำ ละทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังเพื่อเผชิญหน้ากับความรักนั้นเหมือนสาวน้อยแห่งชาลอตคนนี้? เราควรจะทำอย่างไรให้มันเจ็บปวดน้อยที่สุดหรือ?
บ่อยครั้ง คนเราเวลาถูกใจใครสักคน ก็ยากที่จะมีอะไรมาง้างปากเราออกมาได้ ใช่ เราเลือกที่จะไม่บอกใคร เลือกที่จะเฝ้ามองอย่างเงียบๆรอคอยเวลาให้มันเลือนหายไปเอง ทิ้งไว้แค่ความรู้สึกขื่นขมในลำคอและความเศร้าที่ค้างคาอยู่ในอก รอจนเวลาผ่านพ้นไปให้ความรู้สึกมันทับถมสะสมจนเน่าบูด ให้กลายเป็นเหมือนความทรงจำของคนอื่นเราถึงจะกล้าเอ่ยปากพูดออกมา ได้แต่คิดกับตัวเองว่า ถ้าไม่มารู้จักกันเห็นหน้าค่าตากันตั้งแต่แรกเลยก็คงดี ภายใต้ใบหน้าที่เหมือนไม่มีอะไรคงไม่ต่างอะไรจากการมองโลกผ่านกระจกใบเล็กนักหรอก มันเปราะบางและพร้อมจะแตกเป็นเสี่ยงๆได้เสมอ แต่เราเป็นคนเปลี่ยนใจง่ายนะ ความรู้สึกบางครั้งไม่แน่ชัด เหมือนเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบพัดผ่านมาไม่แน่ใจ ที่แน่ใจอย่างหนึ่งคือรู้สึกอยากอยู่ใกล้ๆคล้ายเป็นความผูกพันกันมากกว่า เหมือนว่ารู้จักกันมานานแม้ในความเป็นจริงก็แปบเดียว บางครั้งเห็นเขาเป็นทุกข์เราก็เป็นห่วง แต่ก็ไม่รุ้จะเอาที่ไหนไปคุยเพราะไม่ได้คุ้นเคยอะไรกันเลย ยิ่งมาได้รู้อีกว่าปีนี้เป็นปีที่หนักหนาสาหัสของเขาเรายิ่งเป็นกังวลใจ อยากบอกแต่ก็ไม่รู้จะบอกยังไง ว้าวุ่นใจอยากจะช่วยเหลือเกิน อยากให้เขาได้พบกับชีวิตที่ดี ถ้าเพียงแต่เรารู้จักกันมากกว่านี้......น่าเสียดายเนอะ จะว่าขอเวลามันก็คงไม่ใช่เรื่องของเวลาหรอก คงเป็นเรื่องของความกล้าล่ะมั้ง อืม ความกล้า......ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ ภายใต้มนตราที่พัดผ่าน คือคนๆหนึ่งที่กระเสือกกระสนเพื่อสิ่งที่เรียกว่าความรัก
คนขี้ขลาดอย่างพวกเราหลายๆคน คงได้แต่มองเขาลับสายตาไปผ่านทางกระจกใบน้อย ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองให้เต็มตา ก้มหน้าก้มตาวาดฝันถักทอจินตนาการลงบนผืนผ้า กล้ำกลืนฝืนใจ เหลือเพียงภาพความทรงจำอันเลือนรางกับดวงใจที่แตกสลายตลอดไป
คนขี้ขลาดอย่างพวกเราหลายๆคน คงได้แต่มองเขาลับสายตาไปผ่านทางกระจกใบน้อย ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองให้เต็มตา ก้มหน้าก้มตาวาดฝันถักทอจินตนาการลงบนผืนผ้า กล้ำกลืนฝืนใจ เหลือเพียงภาพความทรงจำอันเลือนรางกับดวงใจที่แตกสลายตลอดไป
No comments:
Post a Comment