หนังที่จะติดอันดับสุดยอดในใจเราตลอดการคงไม่พ้น Eternal Sunshine of the Spotless Mind เรื่องนี้ เป็นหนังที่มีคอนเซปต์เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งตรึงใจ มีอะไรให้เก็บไปคิดได้มากมายแม้ว่าหนังจะจบไปหลายปีดีดักแล้วก็ตาม เราคลำทางมาเจอหนังเรื่องนี้เพราะชื่อของผู้กำกับคนโปรด Michel Gondry ที่เรารู้จักดีในฐานะผู้กำกับมิวสิควิดิโอสุดเจ๋ง มันช่างสะดุดตา ประกอบกับดาราที่ไม่น่ามาประกบคู่กันได้อย่าง จิม แครีย์ กับ เคท วินสเล็ต ก็มากพอที่ทำให้เราตัดสินใจหยิบลงจากชั้นดีวีดีของพ่อมาดูในกลางดึกคืนหนึ่งเมื่อประมาณเกือบสี่ห้าปีที่แล้ว
สปอยล์เนื้อเรื่องจ้า
ปกติแล้วเราเป็นคนที่ค่อนข้างสมาธิสั้น หากดูหนังที่บ้านเราจะคอยหยุดและลุกไปทำโน่นทำนี่ตลอดเพราะเป็นคนที่ถูกหันเหความสนใจได้ง่ายมาก แปลกที่หนังเรื่องนี้เราดูรวดเดียวจบ พร้อมกับไปนอนคิดต่ออีกแทบจะทั้งคืน คอนเซปต์ของหนังคือการที่เราไม่ต้องการจะเหนื่อยหน่ายเจ็บปวดกับความรักอีกต่อไป จนเลือกที่จะลบทุกความทรงจำที่มีเกี่ยวกับมันไปจนหมดสิ้น ทั้งความรักฉันหนุ่มสาว ความผูกพันกับใครซักคน เช่นสัตว์เลี้ยง เพื่อนฝูง คนสนิท นี่คือสิ่งที่บริษัทลากูน่าในเรื่องใช้เป็นจุดดึงดูดคนทุกเพศทุกวัยให้มาใช้บริการ
หนึ่งในนั้นคือคลีเมนไทน์ นางเอกของเรื่อง เธอตัดสินใจลบความทรงจำเกี่ยวกับคนรักออกจนหมดในวันหนึ่ง ซึ่งเป็นชนวนให้โจเอล แฟนหนุ่มของเธอสติแทบแตกเมื่อรู้เรื่องเข้า และตัดสินใจเพื่อจะลบเธอออกบ้างเป็นการแก้แค้น นั่นคือเมื่อเรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้น
หนังเปิดเรื่องด้วยโจเอล ตื่นขึ้นมาพบกับวันคืนที่ซ้ำเดิม บางอย่างผิดปกติไปเล็กน้อยแต่เขาจำอะไรเกี่ยวกับมันไม่ได้มากนัก ในขณะที่เดินทางไปทำงานเช่นทุกวัน มีอะไรบางอย่างสะกิดใจให้เขาวิ่งไปยังชานชาลาที่อีกฟากหนึ่งเพื่อขึ้นรถไฟไปที่มอนท็อค เขาตัดสินใจโดดงานวันนั้น ที่ชายหาดที่มอนท็อค เขาได้พบหญิงสาวคนหนึ่งผมสีฟ้าเข้มท่าทางสะดุดตา ทั้งสองเจอกันอีกครั้งบนรถไฟขากลับ เธอแนะนำตัวว่าชื่อคลีเมนไทน์ และในวันนั้นเอง ความสัมพันธุ์ของทั้งสองก็เบ่งบาน
หนังตัดกลับไปพบกับโจเอลเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้ วันที่เขารู้ว่าคลีเมนไทน์จำเขาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว วันที่เขากลายเป็นคนแปลกหน้าของเธอ ด้วยความสงสัยเขาไปเค้นคำตอบเอากับเพื่อนและพบว่าคลีเมนไทน์ไปที่บริษัทลากูน่าเพื่อลบความจำทุกอย่างเกี่ยวกับโจเอลจนหมดสิ้น ในวินาทีนั้น โจเอลตัดสินใจที่จะทำอย่างเดียวกันบ้างกับความทรงจำของเขาที่มีต่อคลีเมนไทน์ ของทุกชิ้นที่เกี่ยวข้องกับเธอถูกรวบรวมเอาไว้ในถุงใบใหญ่ และขั้นตอนการลบความจำก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ในห้วงความทรงจำคือภาพฝันของอดีต ในวันคืนที่มีคลีเมนไทน์ มีทั้งสุขและเศร้า ทะเลาะกัน ดีกัน เมื่อเวลาผ่านไปที่โจเอลได้ย้อนมองสิ่งเหล่านั้น เขาเริ่มพยายามที่จะขัดขวางการลบความจำเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ที่เขารัก ในห้วงความคิดเขาพาเธอหนีไปซ่อนในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจ เขาพาเธอไปซ่อนไว้ในความทรงจำวัยเด็ก ในความทรงจำหลากหลายห้วงเวลาของเขาเพราะเขาตระหนักได้แล้วว่าในความทรงจำทั้งหมดที่เขามี สิ่งสุดท้ายที่เขาอยากลืมคือเธอ
แต่ในท้ายที่สุดเรื่องก็ดำเนินมาถึงสถานที่สุดท้ายที่โจเอลกับคลีเมนไทน์หนีมาซ่อน โปรแกรมล้างความจำทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าที่คิด และคลีเมนไทน์กำลังจะหายไป ในวินาทีสุดท้าย คำพูดที่เธอกระซิบข้างหูเขาคือ "มาพบฉันที่มอนท็อค"
ฉากตัดกลับมาที่เวลาปัจจุบันซึ่งในหนังจะฉายให้เห็นอย่างประติดประต่อว่าอะไรเป็นอะไร เช้าวันหลังจากที่โจเอลโดนลบความจำคือวันทีอะไรสักอย่างดลใจโจเอลให้ไปที่มอนท็อค และพบคลีเมนไทน์ เมื่อความสัมพันธุ์ทั้งสองเริ่มไปได้ดี เธอตัดสินใจที่จะไปยังบ้านของโจเอล และได้กลับมาที่บ้านเพื่อเอาของ ทำให้เธอได้พบซองสีน้ำตาลจ่าหน้าถึงเธอ ซองนั้นส่งมาจากบริษัทลากูน่า พนักงานสาวที่ทำงานที่นั่นตัดสินใจที่จะบอกความจริงให้กับทุกคนที่มาลบความทรงจำที่นี่ เพราะด้วยตัวเธอเองก็เข้าใจแล้วว่า ไม่ว่าจะลบสักกี่ครั้ง หัวใจก็ยังจะยืนยันที่จะรักคนคนเดิม
คลีเมนไทน์พบว่าที่ส่งมาในซองคือเทปม้วนหนึ่ง เธอลองใส่ในเครื่องเล่นเทปและฟังพร้อมๆกับโจเอลที่กำลังขับรถกลับบ้าน ในเทปเป็นเสียงของเธอเองที่บันทึกเอาไว้ก่อนที่จะลบความทรงจำของโจเอลทิ้งไป เธอพูดถึงสิ่งร้ายๆที่เธอคิดขณะนั้นเกี่ยวกับโจเอล และนั่นทำให้เขาทั้งสับสนและโมโห เขาบอกให้คลีเมนไทน์ลงจากรถเสีย และเขารีบมุ่งหน้ากลับบ้านเพียงเพื่อพบว่าเขาเองก็ได้รับพัสดุจากบริษัทลากูน่าเช่นเดียวกัน
เมื่อคลีเมนไทน์ตามโจเอลมาถึงบ้าน เธอได้ยินเทปเสียงของโจเอลพูดถึงเธอในทำนองเดียวกัน ภาพทุกอย่างกระจ่างชัด และทั้งสองต่างสับสน นิ่งงัน และจนใจ จนเมื่อในที่สุด ทั้งสองที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นต่อกันมากมายตัดสินใจที่จะลองอีกครั้ง และเริ่มต้นรักครั้งใหม่ที่พร้อมจะเผชิญทุกสิ่งโดยไม่คิดถึงการแก้ปัญหาตื้นๆเช่นการลบความจำอีกแล้ว
สิ่งหนึ่งที่หนังเรื่องนี้พยายามบอกเราคือ ความรักอยู่ที่ใจ ไม่ใช่ที่สมอง ถึงเราลืมเรื่องของตคนๆหนึ่งไป แต่หากคนนั้นเป็นคนที่ใช่ของเรา มันก็จะมีบางอย่างดึงดูดคนสองคนเข้าหากันในท้ายที่สุดอยู่ดี กับความทรงจำที่ลบไป แล้วความผูกพันที่มันค้างอยู่ในใจจะเอาอะไรมาจัดการสิ่งนั้น เราประทับใจหนังเรื่องนี้มากๆเพราะคอนเซปต์ง่ายๆนี้แหละ ทำให้เราคิดไปได้อีกหลายคืน ตัวเราเองก็มีใครคนนึงที่เราคอยคิดถึงอยู่บ่อยครั้ง เรามานั่งคิดดูว่าหากวันนึงลืมเขาไปได้ก็ดีจะได้ไม่ต้องมาหวังลมๆแล้งๆให้เสียจิตแบบนี้ต่อไป แต่ใจหนึ่งเราก็ค่อนข้างมั่นใจ ว่าหากเราได้เจอกับเขาอีก ก็ไม่แคล้วที่เราจะกลับไปตกหลุมรักเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้อยู่ร่ำไป
ความทรงจำ จริงอยู่ที่มันอาจจะทำร้ายและหลอกหลอนเรา แต่เมื่อวันหนึ่งเราทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และกล้าพอที่จะมองย้อนกลับไป ที่หลงเหลืออยู่มันก็เป็นสิ่งที่สวยงาม และเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนว่าเราเคยผ่านช่วงเวลาอันมีค่าพอที่จะเก็บรักษามันไว้ไม่ใช่หรือ
No comments:
Post a Comment