Federico da Montefeltro. Portrait byPiero della Francesca.
เฟเดอริโค ดา มอนเตเฟลโตร เป็นหนึ่งในแม่ทัพของกองทหารรับจ้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยเรเนซองส์ ดา มอนเตเฟลโตรเกิดวันที่ 7 มิถุนายน 1422 ในแคว้นเปรูเจีย ประเทศอิตาลี ในวัย16ปีเขาได้เข้าสู่วงการทหารรับจ้างโดยทำงานให้กับ นิโคโล ปิชชินิโน และสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองด้วยชัยชนะที่ปราสาทเซนต์เลโอ ในปี 1444 เขาได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองอูบิโนต่อจากพี่ชายต่างมารดา ออดดานโตนิโอ ดา มอนเตเฟลโตร ซึ่งถูกลอบสังหารหลังได้รับตำแหน่งเพียงไม่นาน อย่างไรก็ตาม เงินบำนาญน้อยนิดจากการเป็นดยุคเเห่งอูบิโนทำให้ ดา มอนเดเฟลโตร ตัดสินใจหวนเข้าสู่แวดวงทหารรับจ้างอีกครั้งในเวลาต่อมา
ในปี 1450 เขาถูกว่าจ้างโดย ฟรานซิสโก ซฟอร์ซา ดยุคแห่งมิลาน อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถทำหน้าที่ได้เนื่องจากการสูญเสียตาข้างขวาไปจากการรบครั้งล่าสุด การต่อสู้ครั้งนั้นยังทิ้งแผลเป็นน่าเกลียดเอาไว้บนใบหน้าจนตลอดชีวิตของเขาอีกด้วย นี่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ภาพเหมือนของ ดา มอนเตเฟลโตร นั้นเหมือนจงใจให้มีแต่ภาพที่หันข้าง อันเป็นข้าง"ที่ดี"ที่เหลืออยู่นั่นเอง
ราวปีต่อมา อัลฟองโซที่5 กษัตริย์แห่งเนเปิลส์ ได้ยื่นข้อเสนอใน ดา มอนเตเฟลโตร ช่วยในการทำสงครามกับเมืองฟลอเรนซ์ เขาตอบรับข้อเสนอนั้น ดา มอนเตเฟลโต ซึ่งไม่ใช่คนอื่นไกลอะไรจากการสมคบคิดและบุคคลอันเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในงานเขียน "ผู้ปกครอง" (The Prince) ของแมคเคียเวลลี ได้ทำในสิ่งที่นำพาซึ่งชื่อเสียงและเกียรติยศมาสู่ตนเองในตลอดชีวิตที่เหลือหลังจากนั้น นั่นคือการ "เฉือนดั้งจมูก" ส่วนบนออกไป เพื่อนเป็นการเพิ่มระยะการมองให้มากขึ้นในสนามรบ เขากลายเป็นกระดุกชิ้นโตสำหรับใครก็ตามที่ต้องการลอบสังหารเขา และที่สำคัญ สิ่งนี่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เขาได้ก้าวขึ้นเป็นแม่ทัพของเหล่าทหารรับจ้างในเวลาต่อมา
ดา มอนเตเฟลโตร เสียชีวิตในปี 1482 ด้วยวัย 60 ปี นอกเหนือจากหน้าที่การเป็นทหารรับจ้าง เขามีชื่อเรียกว่า "แสงสว่างแห่งอิตาลี" ด้วยเขาเป็นหนึ่งในบุุคคลสำคัญแห่งยุคเรืองปัญญา (enlightenment) เขาอุทิศตนให้กับการสร้างหอสมุดซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองรองจากหอสมุดในนครรัฐวาติกัน เขาสนับสนุนจิตรกรที่สำคัญหลายคนในยุคนั้น เช่น ราฟาเอล เขายังมีชื่อเสียงในการให้ความดูแลเหล่าทหารบาดเจ็บด้วยการมอบสวัสดิการต่างๆให้แก่ครอบครัว รวมไปถึงการเดินตรวจตราเมืองอูบิโนด้วยตนเองโดยไม่พกอาวุธเพื่อเป็นการดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างใกล้ชิด เขาปกครองผู้คนอย่างเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายเดียวกัน และให้ความสนใจในการศึกษา โดยเฉพาะในแขนงวิชาประวัติศาสตร์และปรัชญา ทหารในบังคับบัญชาของเขาขึ้นชื่อเรื่องความจงรักภักดี ซึ่งเห็นได้จากที่ว่า กองทัพของเขาไม่เคยแพ้สงครามแม้แต่ครั้งเดียว
ภาพด้านบนเป็นภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดของ เฟเดอริโค ดา มอนเตเฟลโตร เป็นผลงานของหนึ่งในจิตรกรที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยเรเนซองส์ เปียโร เดลลา ฟรานเชสคา (Piero Della Francesca) ความจริงภาพนี้มักจะปรากฎเป็นคู่อย่างที่เห็น โดยอีกภาพหนึ่งจะเป็นภาพของ บาททิสต้า ซฟอร์ซา (Battista Sforza) ดัชเชสแห่งอูบิโน ภรรยาจากการแต่งงานครั้งที่สองของ ดา มอนเตเฟลโตร
ภาพนี้เหมือนเป็นภาพที่สำคัญมากกับชีวิตเรานะ มันเหมือนกับทุกครั้งที่นึกย้อนไป มันจะคาใจอยู่ที่ภาพนี้ เรื่องราวที่พ่อเล่าทำให้เราได้รู้ว่า ทุกภาพวาดมีเรื่องราว ทุกเรื่องราวมีที่มา มี่ความสำคัญ มีเสน่ห์ในตัวของมันเอง พูดง่ายๆคือมันสนุกและมันทำให้เราอยากรู้มากขึ้นมากขึ้นมากขึ้น มันทำให้เราอยากรู้จักทุกๆภาพบนโลกใบนี้ให้มากยิงขึ้น มันทำให้เราอยากเรียนด้านประวัติศาสตร์ศิลป์แทนเรื่องของการเมือง ที่เราคิดมาตลอดว่าเป็นสิ่งที่เราชอบโดยไม่ทันคิดว่ามันเป็นเพียงที่ทำได้ดี นี่เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้เราออกเดินทางบินเดี่ยวเมื่อปิดเทอมที่แล้ว ที่เราออกไปทริปนั้นก็เพื่อตะลุยหอศิลป์ชื่อดังหลายๆแห่งในญี่ปุ่นนี่เอง ถือเป็นข้อดีที่ได้มาอยู่ที่นี่ เพราะญี่ปุ่นเป็นคลังแสดงภาพของจิตรกรที่มีชื่อเสียงอยู่หลายคนทีเดียว
ทุกอย่างมันเริ่มที่ภาพนี้เเหละ เป็นความประทับใจส่วนตัวที่ไม่เคยเปิดเผยให้ใครได้รู้ จนได้กลับไปคุยกับพ่อเมื่อปิดเทอมที่ผ่านมา ชื่อเจ้าตัวกับชื่คนวาดเราลืมไปนานแล้ว แต่เราจำรายละเอียดได้แม่น ก็เอาที่เราจำได้แหละไปถามพ่อ พ่อก็ใช้ความทรงจำอันดีเยี่ยมตอบเรามาได้แม่นยำ สายตาเป็นประกายด้วยความภาคภูมิใจว่าลูกสาวคนเดียวจะเจริญรอยเรียนด้านศิลปะตามตัวเอง ยิ้มแป้นเดินไปหยิบตำราเล่มหนามาเปิดให้ดูนู่นดูนี่ใหญ่เลย
เรียนประวัติศาสตร์ศิลป์งั้นหรอ อืม...
คราวหน้า หากมีใครถามว่าทำไมเราถึงสนใจด้านนี้ เราว่าคงไม่มีคำตอบไหนดีไปกว่า "ดั้งจมูกของเฟเดอริโก" แล้วล่ะ
ภาพนี้เหมือนเป็นภาพที่สำคัญมากกับชีวิตเรานะ มันเหมือนกับทุกครั้งที่นึกย้อนไป มันจะคาใจอยู่ที่ภาพนี้ เรื่องราวที่พ่อเล่าทำให้เราได้รู้ว่า ทุกภาพวาดมีเรื่องราว ทุกเรื่องราวมีที่มา มี่ความสำคัญ มีเสน่ห์ในตัวของมันเอง พูดง่ายๆคือมันสนุกและมันทำให้เราอยากรู้มากขึ้นมากขึ้นมากขึ้น มันทำให้เราอยากรู้จักทุกๆภาพบนโลกใบนี้ให้มากยิงขึ้น มันทำให้เราอยากเรียนด้านประวัติศาสตร์ศิลป์แทนเรื่องของการเมือง ที่เราคิดมาตลอดว่าเป็นสิ่งที่เราชอบโดยไม่ทันคิดว่ามันเป็นเพียงที่ทำได้ดี นี่เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้เราออกเดินทางบินเดี่ยวเมื่อปิดเทอมที่แล้ว ที่เราออกไปทริปนั้นก็เพื่อตะลุยหอศิลป์ชื่อดังหลายๆแห่งในญี่ปุ่นนี่เอง ถือเป็นข้อดีที่ได้มาอยู่ที่นี่ เพราะญี่ปุ่นเป็นคลังแสดงภาพของจิตรกรที่มีชื่อเสียงอยู่หลายคนทีเดียว
ทุกอย่างมันเริ่มที่ภาพนี้เเหละ เป็นความประทับใจส่วนตัวที่ไม่เคยเปิดเผยให้ใครได้รู้ จนได้กลับไปคุยกับพ่อเมื่อปิดเทอมที่ผ่านมา ชื่อเจ้าตัวกับชื่คนวาดเราลืมไปนานแล้ว แต่เราจำรายละเอียดได้แม่น ก็เอาที่เราจำได้แหละไปถามพ่อ พ่อก็ใช้ความทรงจำอันดีเยี่ยมตอบเรามาได้แม่นยำ สายตาเป็นประกายด้วยความภาคภูมิใจว่าลูกสาวคนเดียวจะเจริญรอยเรียนด้านศิลปะตามตัวเอง ยิ้มแป้นเดินไปหยิบตำราเล่มหนามาเปิดให้ดูนู่นดูนี่ใหญ่เลย
เรียนประวัติศาสตร์ศิลป์งั้นหรอ อืม...
คราวหน้า หากมีใครถามว่าทำไมเราถึงสนใจด้านนี้ เราว่าคงไม่มีคำตอบไหนดีไปกว่า "ดั้งจมูกของเฟเดอริโก" แล้วล่ะ
By Ondine de Kroon
No comments:
Post a Comment